เหตุผลที่ทำให้ รถสตาร์ทติดยาก สตาร์ทเครื่องนานกว่าจะติด เป็นเพราะอะไร ?
หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่เคยเผชิญหน้ากับปัญหา รถสตาร์ทติดยาก คงรู้ดีว่าไม่ดีเท่าไรหากตอนนั้นจำเป็นต้องรีบใช้รถ หรือมีธุระด่วนขับขี่ไปไหน แต่รถกลับมาสตาร์ทติดยากคงทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย เพื่อลดปัญหาดังกล่าว BEZ จึงอยากพาทุกคนไปดูสาเหตุของ ปัญหาการสตาร์ทรถ และเช็กต้นตอที่เป็นชนวนสำคัญด้วยตัวเอง รู้จักปัญหามากขึ้นวิธีแก้ก็ทำได้ไม่ยาก มีอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย
3 เหตุผลที่ทำให้ รถสตาร์ทติดยาก มีอะไรบ้าง ?
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ เครื่องดับ หรือ สตาร์ทรถ ยาก ล้วนเกี่ยวข้องกับส่วนประกอบต่าง ๆ ของรถยนต์เป็นสำคัญ ซึ่งมีวิธีการตรวจเช็กง่าย ๆ ด้วยตัวเอง ก่อนนำรถยนต์เข้าศูนย์บริการ แต่จะมีสาเหตุมาจากส่วนไหนบ้าง BEZ ลิสต์มาให้คุณเรียบร้อยแล้ว ไปดูกันเลย !
1. ตัวแบตเตอรี่มีปัญหา
“แบตเตอรี่” ถือเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของรถยนต์ ดังนั้นเมื่อพบเจอกับ ปัญหาการสตาร์ทรถ แนะนำให้ตรวจเช็กแบตเตอรี่เป็นอันดับแรก เนื่องจากเป็นตัว “จ่ายไฟ” ให้ระบบไฟฟ้าของเครื่องยนต์ทำงาน ซึ่งสาเหตุอันเกิดจากแบตเตอรี่ก็ค่อนข้างหลากหลาย โดยมีวิธีการตรวจเช็กดังนี้
- ขั้วแบตเตอรี่หลุดหรือหลวม
ขั้วแบตเตอรี่หลุดนับเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้รถยนต์ของคุณสตาร์ทไม่ติด แถมยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิด “ขี้เกลือ” ตามมาด้วยเช่นกัน แนะนำให้คุณจัดการขันขั้วแบตเตอรี่ให้แน่น พร้อมกับลองสตาร์ทรถดูอีกครั้ง ว่าสามารถสตาร์ทติดได้หรือไม่
- แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ
ในความเป็นจริงแล้ว แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานอยู่ที่ 2 ปี หากพบเจอสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่สามารถนำรถเข้าศูนย์บริการได้ทันที เมื่อเจอแบบนี้แนะนำให้ “พ่วงแบตเตอรี่” จากรถยนต์คันอื่นดูก่อน เมื่อกลับมาใช้งานได้ตามปกติ ก็ค่อยนำรถไปเปลี่ยนแบตเตอรี่และเช็กสภาพอื่น ๆ ในภายหลัง
- ไฟแบตเตอรี่
ในกรณีนี้หากเป็นแบตเตอรี่ที่ยังไม่เสื่อมไปตามอายุการใช้งานหรือพูดง่าย ๆ ว่าใช้งานได้เพียงไม่เท่าไหร่ แค่เพียงคุณอาจเผลอเปิดไว้ในห้องโดยสารทิ้งไว้ หรือเปิดไฟหน้าทิ้งไว้จนไฟในแบตฯ หมดเกลี้ยง สามารถพ่วงแบตเตอรี่ให้รถสตาร์ทติดได้ แล้วขับใช้งานไป ไฟก็จะชาร์จเข้าตัวแบตเตอรี่ให้เอง หรือจะเป็นการ “ถอด” ไปชาร์จ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเครื่องดับได้ แต่มีข้อเสียคือจะทำให้อายุการใช้งาน “น้อยลง” กว่าปกติ
2. มอเตอร์สตาร์ทเสีย
หากคุณทำการตรวจเช็กแบตเตอรี่และแก้ไขปัญหาเบื้องต้นไปแล้ว แต่รถกลับยังสตาร์ทไม่ติด แนะนำให้ตรวจเช็กมอเตอร์สตาร์ท(ไดร์สตาร์ท) ร่วมด้วย โดยให้ทำการเช็กที่ไฟหน้าปัดแล้วสังเกตว่ามีไฟติดแสดงสัญญาณต่าง ๆ ปกติหรือไม่ ถ้าไฟติดแต่ตอนบิดสตาร์ทกลับนิ่งเงียบไม่มีอะไรตอบสนองหรือมีเสียงดังผิดปกติเล็ก ๆ แบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน หากพบว่าเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้ทำการ “แก้ปัญหาเบื้องต้น” เกี่ยวกับไดร์สตาร์ทดังต่อไปนี้ได้เลย
-
Tips : ลองใช้โลหะมากระแทกที่ตัวไดร์
ในกรณีที่รถยนต์ของคุณเป็นระบบเกียร์ออโต้ แนะนำให้ใช้ประแจถอดล้อ หรือโลหะอื่น ๆ มาเคาะเบา ๆ ตรงมอเตอร์สตาร์ท ณ ตำแหน่งสีดำของตัวไดร์ที่เป็นเหมือนแกนกลางมีสติกเกอร์ติดอยู่ แล้วลองสตาร์ทรถอีกครั้งว่าสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่
-
Tips : ลองเข็น (กรณีเกียร์ธรรมดา)
การแก้ปัญหา “แบบเบสิค” หากรถยนต์ของคุณเป็นระบบเกียร์ธรรมดา ให้ทำการใส่เกียร์ 1 ค้างไว้ พร้อมกับเหยียบคลัตช์ หลังจากนั้นก็บิดกุญแจให้สุด เมื่อเข็นได้ความเร่งที่เหมาะสมแล้ว ให้ทำการปล่อยคลัตช์ เหยียบคันเร่ง และแตะเบรกเมื่อเครื่องกลับมาสตาร์ทติดอีกครั้ง หลังจากนั้นให้ทำรถเข้าศูนย์บริการทันที อย่าได้ปล่อยปละละเลยเด็ดขาด
หรือถ้าหากลองหมดทุกวิธีแล้ว แต่ปัญหาก็ยังไม่หายไปแถมยังคงสร้างความปวดหัว อย่างไม่รู้จบ แนะนำให้ลองทำวิธีสุดท้าย คือ “สตาร์ทรถแบบเร็ว ๆ” ด้วยการเสียบและบิดกุญแจอย่างรวดเร็วก็สามารถแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้เช่นกัน แต่ถ้าหากว่าไม่สามารถแก้ได้ ให้ลองตรวจเช็กในจุดต่อไปเพื่อหาสาเหตุที่เกิดขึ้นนั่นคือส่วนของ “ไดร์ชาร์จ”
3. ไดร์ชาร์จมีปัญหา
“ไดร์ชาร์จ” เป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบของการทำงานเกี่ยวกับระบบไฟในตัวรถ หากลองเช็กแบตเตอรี่และมอเตอร์สตาร์ทแล้ว แต่ก็ยัง สตาร์ทรถ ไม่ติดเหมือนเดิม ให้คุณลองเช็กที่ส่วนนี้ ในกรณีที่ไดร์ชาร์จเสื่อมสามารถสังเกตได้ง่าย ๆ ในตอนที่คุณติดเครื่องยนต์พ่วงแบตเตอรี่ แล้วถอดขั้วแบตออก 1 ข้าง พบว่ารถมีอาการกระตุก เครื่องดับ หรือไฟตก ฟันธงได้เลยว่าสาเหตุของปัญหานี้มาจากตัวไดร์ชาร์จ 100%
-
Tips : เมื่อคุณกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาไดร์ชาร์จเสื่อม ให้ทำการ “ปิดระบบไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น” และขับไปศูนย์บริการอย่างช้า ๆ หรือถ้าหากไม่สามารถขับเคลื่อนรถได้แล้ว ก็ให้จอดรถในที่ปลอดภัย พร้อมกับโทรเรียกช่างมาให้ตรวจเช็กสภาพให้
ทั้ง 3 ส่วนประกอบที่เราได้พาคุณตรวจเช็กข้างต้นในวันนี้ ล้วนทำงานร่วมกันทั้งหมดหากคุณต้องเผชิญหน้ากับปัญหารถสตาร์ทไม่ติดหรือใช้เวลานานกว่ารถจะสตาร์ทติดได้ แนะนำให้ไล่เช็กแต่ละจุดเพื่อหาสาเหตุที่เกิดขึ้น หรือถ้าหากไม่มั่นใจสามารถนำรถไปตรวจเช็กที่ศูนย์บริการใกล้ที่สุดแทนก็ได้ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงจากผู้เชี่ยวชาญ ได้แก้ปัญหาอย่างตรงจุดใช้รถได้อย่างอุ่นใจไม่ต้องกังวลว่ารถจะสตาร์ทไม่ติด รวมไปถึงป้องกันปัญหาอื่น ๆ เกี่ยวกับรถที่อาจจะตามมาในภายหลั
แม้ว่าปัญหาการสตาร์ทรถจะเป็นเรื่องที่ชวนหัวจะปวด แต่ถ้าหากคุณรู้จักรถของคุณมากขึ้น เข้าใจระบบกลไกการทำงาน เกี่ยวกับระบบไฟหรือระบบเครื่องยนต์ส่วนต่าง ๆ ปัญหาที่เจอจะสามารถแก้ไขได้อย่างถูกต้องและตรงจุด พ่วงไปถึงเรื่องการใช้งานรถอย่างถูกต้องซึ่งเปรียบเสมือนการดูแลรักษารถได้ในทางอ้อม ไม่ทำร้ายตัวรถและเครื่องยนต์ ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้คุณใช้รถได้อย่างราบรื่น ไม่เจอปัญหาจุกจิกในการใช้งาน